๑ : อิศรญาณภาษิต



"เพชรดีมีค่าราคายิ่ง
ส่งให้ลิงจะรู้ค่าราคาหรือ
ต่อผู้ดีมีปัญญาจึงหารือ
ให้เขาลือเสียว่าชายนี้ขายเพชร"

       บทประพันธ์ข้างต้นนั้นเป็นคำสอนโบราณที่ว่า เราไม่ควรนำของมีค่าไปให้ผู้ที่เขาไม่เห็นคุณค่าในสิ่งของสิ่งนั้นเพราะมันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ จะทำสิ่งใดก็ควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าตนเองมีปัญญามากพอที่จะโอ้อวดได้
       บทประพันธ์ข้างต้นนี้มาจากเรื่อง "อิศรญาณภาษิต" ซึ่งมีชื่อเรียกอีกว่า เพลงยาวเจ้าอิศรญาณ , ภาษิตอิศรญาณ ขึ้นอยู่กับความคุ้นชินของตน...
       การจะศึกษาวรรณคดีสักเรื่องนั้นเราต้องรู้ก่อนว่าเรื่องที่จะอ่านนั้นสื่อถึงอะไร แล้วจะดูจากอะไรล่ะ... ก็ดูจากชื่อเรื่องอย่างไรเล่า... เพราะชื่อเรื่องคือสิ่งที่บอกเนื้อเรื่องนั่นเอง
       ขั้นแรกเราต้องแยกคำจากชื่อเรื่องเพื่อหาความหมายของคำก่อนว่าหมายความว่าอย่างไร...

       อิศรญาณ หมายถึง หม่อมเจ้าอิศรญาณ ซึ่งเป็นพระราชโอรสใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ (พระองค์เจ้าโต ต้นราชสกุล "มหากุล") ประสูตเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗ (รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔) หม่อมเจ้าอิศรญาณทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร มีสมณฉายาว่า "อิสฺสรญาโณ" และสิ้นชีพิตักษัยปี พ.ศ.๒๔๒๓ (รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕)
        ภาษิต หรือ สุภาษิต หมายถึง คำกล่าวที่ถือว่าเป็นคติ หรือที่เข้าใจกันก็คือ คำกล่าวที่เป็นสิ่งที่สอนใจคน

        ดังนั้น อิศรญาณภาษิต จึงเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับคติสอนใจที่หม่อมเจ้าอิศรญาณทรงนิพนธ์เพื่อสั่งสอนผู้คน
        
        ขออนุญาตเข้าสู่ช่วงเมาท์มอยหอยกาบสักครู่นะ (ช่วงนี้เป็นช่วงที่จะเมาท์มอยเรื่องลับ ๆ ที่ไม่ค่อยปรากฏหรือความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อเรื่องที่จะเล่านั่นแหละ ภาษาที่ใช้ในการเมาท์มอยก็อาจจะมีภาษาวัยรุ่น หรือ ภาษาหยาบ แต่จะพยายามใช้ให้น้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันแทรกช่วงนี้เพื่ออรรถรส และลดความตึงตะลึงตึงตึงเครียดในการอ่านแหละจ้าา) 
        นี่คุณจ๋า!!! เขาว่ากันว่าหม่อมเจ้าอิศรญาณเนี่ยนะ ชอบทำอะไรผิดแผกชาวบ้านชาวเมือง เอาง่าย ๆ ก็เหมือนแบบ คนเราออกไปไหนมาไหนก็ใส่เสื้อผ้าใช่ไหม แต่คืออีกคนไม่ใส่อะไรออกไปเลยจ้าา (นี่เปรียบเทียบ ไม่ใช่เรื่องจริงโว้ยยยย) นั่นแหละ หม่อมฯ ชอบทำอะไรแปลก ๆ คนก็หาว่าสติไม่ดี (รึไม่มีสตางค์นะ???) เออช่างมัน นั่นแหละ หม่อมฯ ก็นอยด์ เนี่ย ฉันทำแบบที่ฉันอยากทำ ฉันผิดอาร้ายยย ฉันเสียใจนะะ เลยมาแต่งอิศรญาณภาษิตประชดประชัน และเสียดสีสังคมเลยจ้า ถ้าอ่านเรื่องนี้ดี ๆ หม่อมฯ แต่งเรื่องนี้เพื่อเป็นการระบายความรู้สึกแหละ แต่ด่าแรง ๆ ไม่ดั้ยยย

       กลับเข้าสู่ช่วงสาระของเรากันต่อ
       บทพระนิพนธ์นี้ใช้คำประพันธ์ที่เรียกว่า "กลอนเพลงยาว" ลักษณะคล้ายกับกลอนสุภาพ เพียงแต่บทแรกขึ้นต้นด้วย วรรครับ ความยาวไม่จำกัด จะแต่งกี่ร้อยบทก็ได้ เมื่อจะจบก็ลงท้ายด้วยความ เอย
       ในอดีตตระกูลกลอนเพลงยาวนั้นถือว่าเป็นสื่อรักของหนุ่มสาวมาหลายคู่แล้ว เพราะว่าเขาใช้ในการเกี้ยวพาราสีกัน ถ้ายังนึกภาพไม่ออก เพลงยาวสมัยโน้น (น.หนู หนึ่งล้านตัว) ก็คือแชทระหว่างหนุ่ม-สาวสมัยนี้นั่นเอง แต่งโต้ไปตอบมา จนรักกันเลย แต่เขาว่ากันว่าการที่มีกลอนเพลงยาวในประเทศสยามนั้น ทำให้คนสมัยก่อนบางส่วนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะบิดรมารดาของเขากลัวว่าพออ่านออกเขียนได้ จะเล่นเพลงยาวจนได้คู่เลยแหละ อ๋อ ! มัวแต่ไร้สาระ กลอนเพลงยาวนั้นปรากฏครั้งแรกในสมัยอยุธยา ซึ่งเป็นกลอนเพลงยาวของเจ้าฟ้ากุ้ง (เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ไชยเชษฐ์สุริยวงศ์) ที่ทรงนิพนธ์เกี้ยวพาราสีเจ้าฟ้าสังวาล (ไว้อ่านแล้วจะมาเล่าให้ฟัง)
    
       วกกลับเข้ามาเรื่องอิศรญาณภาษิตต่อ เรื่องนี้นั้นเต็มไปด้วยสุภาษิตมากมายที่หม่อมเจ้าอิศรญาณได้ทรงนิพนธ์เอาไว้ และมีการสอนในหลาย ๆ เรื่อง เช่น สอนให้รู้จักคิดก่อนพูด , ไม่หลงใหลในคำพูดจนถูกหลอก , ไม่เชื่อคำยุยง , ฟังหูไว้หู , เคารพ เชื่อฟังและกตัญญูต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ฯลฯ โดยภาษาที่หม่อมเจ้าอิศรญาณใช้นั้นเป็นภาษาเรียบง่าย ไม่ต้องตีความมากมาย เน้นการอุปมา (การเปรียบเทียบ) มากกว่า
       เรื่องอิศรญาณภาษิตนั้น ถูกบรรจุเข้าไปในบทเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ อีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยเรียนและเคยอ่านมาบ้างแล้ว และคงผ่านการท่องบทอาขยานหลักในเรื่องนี้ที่ว่า

"ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ
รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ

ผู้ใดดีดีต่ออย่าก่อกิจ
ผู้ใดผิดผ่อนพักอย่าหักหาญ
สิบดีก็ไม่ถึงกับกึ่งพาล
เป็นชายชาญอย่าเพ่อคาดประมาทชาย

รักสั้นนั้นให้รู้อยู่ว่าสั้น
รักยาวนั้นอย่าให้เยิ่นเกินกฎหมาย
มิใช่ตายแต่เขาเราก็ตาย
แหงนดูฟ้าอย่าให้อายแก่เทวดา

อย่าดูถูกบุญกรรมว่าทำน้อย
น้ำตาลย้อยมากเมื่อไรได้หนักหนา
อย่านอนเปล่าเอากระจกยกออกมา
ส่องดูหน้าเสียทีหนึ่งแล้วจึงนอน"

       เป็นอย่างไรคิดถึงตอนที่นั่งท่องจำเพื่อไปเอาคะแนนกับครูไหม ฮ่า ๆ ๆ จะเห็นได้ว่าแต่ละบทมีสุภาษิตแทรกอยู่เยอะ ที่เราพบชัดเจนเลยนั่นคือ ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสาร , น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า , รักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ ฯลฯ ที่ได้เรียนกันช่วง ม.๓ นั้นมีอยู่ ๒๖ บท 
       แต่ !!!!!!!! ในความเป็นจริงนั้นยังมีต่อจากนั้น เจ้าของบล็อกได้มีโอกาสซื้อหนังสือ "สุภาษิตพระร่วง และ สุภาษิตอิศรญาณ" จากศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ มาในราคา ๑๒ บาท (เล่มบ๊างบาง...) พบว่าบทที่ไม่ได้บรรจุในหนังสือเรียนนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้พิเคราะห์ว่าบทต่อจากนั้นมีผู้อื่นมาแต่งต่อ โดยไม่ทราบว่าหม่อมเจ้าอิศรญาณได้แต่งถึงอะไร ประมาณว่าเขาคนนั้นแต่งต่อไปมั่ว ๆ ให้มันจบ แต่สำนวนพอใช้ได้จึงได้จัดพิมพ์ในเล่ม เท่าที่ได้อ่านแล้ว บทต่อจากหม่อมเจ้าอิศรญาณนั้น จะออกไปทางเรื่องบ้านเมือง เรื่องความสามัคคี ศาสนา บุญ-กรรม วิถีชีวิตของผู้คน อ่านแล้วก็ดูไม่ค่อยจะต่อเนื่องจากหม่อมเจ้าอิศรญาณสักเท่าไหร่นัก แต่ก็พออ่านได้ เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนเลยแหละ

      วรรณคดีไทยแต่ละเรื่องจะมีเสน่ห์ต่างกัน อย่างเรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า การที่คนคนหนึ่งมีเรื่องน้อยอกน้อยใจแล้วระบายมาเป็นกลอนแทนที่จะเป็นเนื้อหาแบบกระแทกกระทั้น ที่ไหนได้ ระบายเป็นคำสั่งสอนคนอื่น แต่อย่างไรล่ะ ตัวเองก็แต่งไม่จบ มีคนมารับไม้ต่อ แต่ก็นอกลู่ ถึงนอกลู่ก็ยังได้ข้อคิดอยู่บ้าง หวังว่าทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษาเรื่องวรรณคดีไทย และเด็กน้อย ม.๓ ที่น่ารักนะครับ...

ส. ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ (๒๓.๑๘)

Comments